วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556

พ่อ ''ยุ้ย-รจนา'' โผล่เปิดใจห่วงลูกแต่ให้อยู่ด้วยคงยากน้องชายชี้พี่สาวไม่ได้กินยาโรคประสาทกำเริบ



หลังจากสยามดาราได้นำเสนอเรื่องราวชีวิตที่พลิกผันจากฟ้าสู่เหวของ ''ยุ้ย'' รจนา เพชรกัณหา อดีตนางแบบชื่อดัง ที่เคยสร้างชื่อเสียงด้วยการเป็นนางแบบโกอินเตอร์ มีรายได้นับร้อยล้านบาท แต่ด้วยการที่ใช้ชีวิตผิดพลาด ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย และใช้ยาเสพติด หมดเงินที่หามาได้ กลับกลายมาเป็นคนสติไม่ดี เดินเร่ร่อนข้างถนนจนกลายเป็นเรื่องช็อกวงการในขณะนี้ และต้องการให้ญาติติดต่อมารับไปดูแล ทำให้ นางปวีณา หงสกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลืออดีตนางแบบชื่อดัง ที่เข้าพักรักษาตัวที่ รพ.บ้านสมเด็จเจ้าพระยา
ล่าสุดรายงานระบุว่า เมื่อเวลา 10.30 น. ทางรายการ ''บันเทิงทูเดย์'' ได้เชิญ นายยศ เพชรกัณหา บิดา และ นายเพชรอุบล เพชรกันหา น้องชายต่างมารดาของยุ้ย มาเปิดใจในรายการ ก่อนที่ทั้งคู่จะเปิดใจกับสื่อมวลชนที่มารอทำข่าว ณ สตูดิโอมนตรี กรุงเทพฯ โดยประวัติของ ''ยุ้ย'' รจนา เพชรกัณหา เกิดกับภรรยาคนแรกของ นายนายยศ เพชรกัณหา มีอาชีพเป็นช่างทำสีรถ ก่อนที่นายยศ บิดา จะเลิกราไปมีครอบครัวใหม่ และมี นายเพชรอุบล เพชรกัณหา ชื่อเล่นว่า ''อู๋'' เป็นน้องชายต่างมารดา  
 
''ก็รู้สึกสลดใจ ไม่รู้จะพูดยังไง เห็นข่าวก็คิดว่าเป็นลูกเรา เขาออกจากบ้านมาไม่กี่อาทิตย์ ก็จำได้ว่าเค้าแต่งตัวยังไง ช่วงวัยเด็กผมได้เลี้ยงดูเค้าตั้งแต่สองขวบ จากนั้นมาก็ไม่ได้เลี้ยงเค้าอีก ประมาณสี่ขวบคุณแม่เขาก็ขอไปรับเลี้ยงแทน และไม่ได้ติดต่อกันเลย  เพราะมีอีกครอบครัวหนึ่ง ตอนนี้ก็อยากเจอ แต่คิดว่าทางโรงพยาบาลจะรักษาให้หายขาด ค่อยว่ากันอีกครั้งหนึ่ง'' นายยศ กล่าวด้วยสีหน้าที่ซึมเศร้า ก่อนที่ ''อู๋'' น้องชายต่างมารดาจะกล่าวเสริมว่า ตนรู้ว่าเป็นพี่สาวต่างมารดา เคยกลับมาอยู่ที่บ้านแม่ของตนซึ่งมีศักดิ์เป็นแม่เลี้ยงของยุ้ยพี่สาว 
 
''ไม่ค่อยได้สนิทกับเค้าสักเท่าไหร่ รู้เพียงว่าเค้าเป็นพี่สาวต่างมารดาแค่นั้นเอง จะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เค้าติดต่อมา ช่วงที่ยังเด็กอยู่ เค้ามาตามหาพ่อ 20 ปีที่แล้ว แต่ว่าก็ไม่ได้เจอพ่อ พ่อมาทำงานมที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย พอมาเจออีกทีก็ประมาณปีหนึ่ง เจอบ่อยขึ้น พอกลับมาประมาณปีหนึ่งก็ได้เจอกันบ่อยขึ้น หลังจากนั้นทางโรงพยาบาลก็ได้ติดต่อมา บอกว่าพี่ยุ้ยไม่มีญาติ ก็เลยปรึกษากันทำไงดี ทางครอบครัวฝั่งนู้นก็ไม่มีใครดูแล เราก็เป็นน้องชายคนหนึ่ง พาพี่เค้ากลับบ้านแม่ที่มหาสารคามที่บ้านแม่ พออยู่ได้เดือนหนึ่งเค้าก็มีอาการดี พูดจารู้เรื่อง แต่หลังจากนั้นเดือนกว่าก็มีท่าทีแปลกๆ พูดจาไม่ดีกับแม่ แม่ผมเลยรับไม่ได้ในจุดนี้ อันนี้น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เค้าออกจากบ้าน เพราะเค้าไม่ชอบให้ใครไปวุ่นวาย แต่แม่ก็หวังดีเพื่อที่จะไม่ให้เค้าสูบบุหรี่หรือดื่มเหล้า ถ้าไปอยู่กับเค้าจริงก็ต้องเลิกให้ได้ เค้าคงอึดอัดจึงออกจากบ้านมาได้ประมาณอาทิตย์หนึ่ง มารู้ข่าวอีกทีก็ตามที่เป็นข่าวในทีวี ตอนอยู่กับแม่ที่สารคามก็อยู่กับบ้าน ไปกับบ้านญาติบ้าง เสพยาไม่ได้เสพ แต่จะกินยาตลอด เป็นยาระงับประสาท ช่วงนั้นยาหมดพอดี ประกอบกับการที่ดูดบุหรี่กับกินเหล้า ต้องกินตลอด ถ้าไม่กินก็จะเบลอ พูดไม่รู้เรื่อง ถ้าได้กินก็จะเป็นปกติ คุยรู้เรื่อง เป็นคนที่มีจิตใจดี''
 
หลังจากที่อยู่ด้วยกันไม่ได้ เพราะพี่สาวเริ่มมีอาการทางประสาท ด่าว่าแม่ของตน ทำให้ผิดใจกันกับแม่ จนต้องออกจากบ้าน อ้างว่าไปหาพี่ชายชื่อหมู
 
''ออกจากบ้านมาอาทิตย์กว่าๆ เองครับ บอกว่าจะมาหาพี่ชายชื่อหมูที่กรุงเทพฯ ผมนึกว่าได้เจอกันแล้ว แต่มารู้ข่าวอีกทีก็ตามหายังไม่เจอ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะยาขาดยาแล้วหลงๆ ลืมๆ หรือเปล่าก็ไม่ทราบ''
 
อู๋ น้องชายต่างมารดา เล่าว่าถึงแม้พี่สาวจะโด่งดังที่เมืองนอกจนมีเงินเป็นร้อยล้าน แต่ครอบครัวใหม่ของพ่อก็ไม่เคยรู้เรื่อง มารู้อีกทีก็เห็นในสภาพที่แย่แล้ว
 
''ช่วงที่เค้าดังก็ไม่ได้เจอ ไม่ได้ติดต่อกันเลย เราก็อยู่เฉพาะของเรา ไม่อยากให้พ่อเข้าไปยุ่งกับเค้า เพราะตอนเด็กๆ ไม่ได้ดูแลเค้า เดี๋ยวเค้าจะหาว่าไปหวังอะไรจากเค้า เราก็อยู่เฉพาะครอบครัวของเรา มารู้อีกทีเค้าก็อยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ ไม่มีที่จะไปแล้ว ส่วนเรื่องเงินเราไม่เคยรู้เรื่องเงินเกี่ยวกับเค้าเลย เพราะว่าเป็นเรื่องของครอบครัวเค้าอีกฝั่งหนึ่ง เรามารู้ในสภาพที่แย่แล้ว เราก็เป็นครอบครัวอีกฝั่งหนึ่ง พ่อก็ช่วยได้เท่าที่ช่วย ไม่รู้ว่าแม่ของพี่ยุ้ยเค้าไปอยู่ไหน รู้เพียงว่าพี่ชายชื่อหมูอยู่ที่สาธุประดิษฐ์''
 
เมื่อเห็นสภาพลูกสาวที่ย่ำแย่แถมยังสติไม่ดี นายยศในฐานะผู้เป็นพ่อถึงไม่ได้เลี้ยงจนโต แต่ก็อดห่วงไม่ได้ ยอมรับว่าอยากเจอหน้าลูก คิดว่าทางโรงพยาบาลจะรักษาให้หาย หายขาดค่อยว่ากันอีกครั้งหนึ่ง แต่ทั้งนี้ อู๋ก็แย้งว่าอาจจะเป็นไปได้ยากหากจะมาอยู่ด้วยกันเนื่องจากแม่ของตนยังรับกับพฤติกรรมของยุ้ยไม่ได้
 
''โดยส่วนตัวแล้ว ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะยังไง แม่เองก็รับไม่ได้แล้ว เพราะเค้าพูดจารุนแรงเกินไปสำหรับแม่ และไม่ไว้ใจว่าเค้าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกหรือเปล่า เพราะว่าเค้าคงจะฝังใจ ถึงแม้จะหายก็ไม่ไว้วางใจ พฤติกรรมคือจะทำร้ายแม่ แล้วก็ด่าญาติๆ ที่คอยดูแลอยู่ ถ้าเป็นแบบนี้ก็คืออยู่ด้วยกันไม่ได้ ก็เลยให้เค้าไปอยู่กับพี่ชายอีกครอบครัวของเค้าดีกว่า''
 
เมื่อถามว่าไม่เป็นห่วงกันบ้างเลยหรือเพราะ ''ยุ้ย-รจนา'' ไม่เหมือนคนปกติ น้องชายกล่าวว่าในช่วงนั้น ''ยุ้ย-รจนา'' เริ่มมีอาการดีขึ้น และได้มีโอกาสออกรายการฅนค้นคน เมื่อปี 53 ทำให้มีงานเข้ามา เป็นการรับสอนเดินแบบ ประกอบกับพี่สาวมีเพื่อนเยอะน่าจะเอาตัวรอดได้ 
 
''ช่วงนั้นเค้าก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นแล้วพอมีงาน ช่วงที่หลังออกจากรายการฅนค้นคน ปี 53 หลักๆ ก็สอนเด็กเดินแบบแยกจากบ้านมาอยู่ส่วนตัว เค้าต้องการเป็นอิสระ เค้าก็ออกจากบ้าน ก็ไม่รู้ว่าไปไหน ไปอยู่กับเพื่อนหรือว่ายังไง คิดว่าเค้ามีเพื่อนเยอะ มีชื่อเสียงในสังคมน่าจะเอาตัวรอดได้'' 
 
ทั้งนี้ ในส่วนของค่ารักษาพยาบาล ครอบครัวเผยคงต้องใช้บัตรทอง 30 บาท และได้มูลนิธิปวีณาช่วยเหลืออีกทางหนึ่งจึงเบาใจไปมาก 
 
''ค่ารักษาพยาบาลเห็นบอกว่าใช้บัตร 30 บาท รักษาได้ ส่วนหน่วยงานอื่นที่จะมาช่วยก็ได้ข่าวว่ามีมูลนิธิปวีณาเพื่อเด็กและสตรีจะคอยช่วยเหลือ ซึ่งทางครอบครัวจากนี้ไปก็คงต้องหาเวลาไปเยี่ยม 
 
จากข่าวลือว่า ''ยุ้ย-รจนา'' มีสามีและลูกแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจริงเท็จแค่ไหน เมื่อถามไปยังบิดาและน้องชายทั้งคู่ก็ตอบว่าไม่รู้เช่นกันว่ายุ้ยมีสามีและลูกหรือไม่ อีกทั้งหัวอกคนเป็นพ่ออยากให้ลูกสาวหายดีมีงานทำ จะได้เอาตัวรอดได้
 
''อันนี้ก็ได้ยินมาเหมือนกัน ส่วนเค้ามีครอบครัวมีลูกหรือเปล่านั้นก็ไม่รู้ เพราะเค้าก็ไม่เคยบอกอะไร ยืนยันไม่ได้ พ่อก็เป็นห่วงเรื่องถ้าหายดี ออกจากโรงพยาบาลแล้ว อยากให้เค้ามีที่อยู่มีที่ทำกินดีๆ จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงเค้ามาก และแม่ที่แท้จริงของยุ้ยตอนนี้ยังบวชชีอยู่หรือเปล่านั้น ไม่ทราบเหมือนกัน แต่แว่วมาว่าอยู่ที่สระบุรี แต่ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ไหนอีก'''' 
 
...ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ''ยุ้ย-รจนา'' สาวไทยมีรูปร่างดี วาสนาเด่น โกอินเตอร์โด่งดังในเมืองนอก ทำรายได้ปีละ 50 ล้าน แต่เนื่องจากการหลงระเริงในรายได้ที่เป็นกอบเป็นกำ ประกอบกับหลงเข้าไปเป็นทาสยาเสพติดที่เธอคิดว่ามันเป็นแฟชั่นสไตล์ฝรั่ง กลับกลายเป็นน้ำผึ้งอาบยาพิษที่ทำให้ชีวิตเธอเหลวแหลก กลายเป็นนางฟ้าตกสวรรค์ ซมซานกลับบ้านเกิด สติฟั่นเฟือนไม่มีใครยอมรับ เป็นที่น่าสลดใจกับผู้ที่ได้ทราบข่าว   
 
...ถึงตอนนี้เธอได้รับการรักษาแล้ว และคงได้แต่ภาวนาว่าให้สติเธอกลับคืนมาเป็นปกติดังเดิม และผู้หญิงที่ชื่อ ''ยุ้ย'' รจนา เพชรกัณหา คงเป็นอุทาหรณ์สอนใจใครหลายคนได้เป็นอย่างดี...
 
กับกรณีของ ''ยุ้ย'' รจนา เพชรกัณหา อดีตนางแบบระดับโลกชื่อดังที่ชีวิตผกผันกลายเป็นคนเร่ร่อน สติไม่สมประกอบ วันเดียวกันรายการ ''ตื่นมาคุย'' ได้เชิญ ''โจ- สาโรจน์'' อดีตผู้จัดการ ''ยุ้ย-รจนา'' มาไขข้อข้องใจ ตอบคำถามถึงสาเหตุและอาการป่วยของยุ้ยทั้งหมด โดยโจเผยว่า ''ตอนนี้ยุ้ยป่วยเป็นโรคไบโพลาห์ ซึ่งมีลักษณะอาการเหมือนคนสองบุคลิก เวลาดีใจก็จะดีใจเต็มที่ แต่ถ้าเศร้าก็จะดาวน์ มีอาการหดหู่มาก โดยต้องทานยาอย่างสม่ำเสมอ ส่วนที่อาการกำเริบสาเหตุน่าจะเกิดจากที่ไม่ได้ทานยา น่าจะมีผลมาจากยาเสพติดที่เคยใช้ที่เมืองนอกไปทำลายประสาทบางส่วน แต่หลังจากที่ยุ้ยกลับมาเมืองไทยก็ไม่ได้ใช้สารเสพติดอีกแล้ว''   
 
อดีต ผจก.นางแบบดังวันวานเล่าถึงสาเหตุที่ไม่ได้เป็นผู้จัดการแล้วว่า ''ช่วงที่ยุ้ย- รจนา'' รักษาตัวและกำลังจะกลับเข้าวงการอีกครั้ง มีคนติดต่อยุ้ยเข้ามา บอกว่าจะทำสารคดีชีวิตของ ''ยุ้ย-รจนา'' ให้ และมีคนเสนอจะป้อนงานให้มากมาย ซึ่งตนไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิง ไม่สามารถการันตีงานให้ยุ้ยได้ เลยบอกให้ยุ้ยไปอยู่กับเขาดีกว่า ยุ้ย เลยไปอยู่กับเขา ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอาการของโรคนี้ว่าเป็นโรคที่มีอารมณ์แปรปรวนมาก จากนั้นก็ไม่ได้เจอกันมาปีกว่า พอมาทราบข่าวครั้งล่าสุดก็ตอนที่ยุ้ยเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และตนได้เข้าเยี่ยม และตอนนั้นอาการก็ดีขึ้นแล้ว เพราะโรคนี้พอได้รับยาแล้วสติจะกลับมาเหมือนเดิม พอหลังจากที่ยุ้ยออกจากโรงพยาบาล ตนและแฟนคลับก็พยายามที่จะหาที่อยู่ให้ เตรียมหาคอร์สให้สอนเดินแบบ เลยส่งยุ้ยให้กลับไปอยู่กับญาติที่สกลนครก่อน จากนั้นยุ้ยก็หายไปสองอาทิตย์ ล่าสุดก็เพิ่งทราบจากที่เป็นข่าว ตนอยากเข้าไปเยี่ยมแต่ทางโรงพยาบาลยังไม่อนุญาต'' 
 
ต่อคำถามว่า ตอนนี้ ''ยุ้ย-รจนา'' มีปัญหาเยอะไหม โดยโจเผยว่า ''ตอนช่วงที่ตนดูแลไม่ค่อยมีปัญหารุนแรง เพียงแต่บ่นว่าอยากมีบ้านอยู่กับพ่อแม่ อยากกลับมาทำงานเหมือนเดิม''  
 
นอกจากนี้ ยังเผยถึงจุดเปลี่ยนที่ยุ้ยต้องเข้าโรงพยาบาลอีกครั้งว่า ''คาดว่าเพราะยุ้ยไม่มีที่อยู่แน่นอน โรคนี้เป็นโรคที่รักษาไม่หาย ต้องกินยาตลอดชีวิต อาการกำเริบน่าจะเกิดจากการที่ไม่ได้กินยา''
ขอบคุณเนื้อหาข่าวและรูปภาพจาก  http://www.siamdara.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น